UFABETWINS ก่อนอื่นขอสารภาพตามตรงว่าผมนี่แหละแฟนตัวยงของ ไมเคิ่ล โอเว่น
UFABETWINS เข้าใจครับว่าเขาเป็นผู้เล่นของ ลิเวอร์พูล ที่ “เด็กผี” ไม่ควรจะญาติดีด้วย แต่ตอนนั้นผมก็เป็นกองเชียร์ของทีมชาติอังกฤษ
คนหนึ่งเหมือนกัน
จังหวะที่ใช้ความเร็วกว่านรกฉีกหนีคู่แข่งไปสังหารประตูทำลายตาข่ายของ อาร์เจนติน่า ในศึกฟุตบอลโลก 1998 ยังอยู่ในความทรงจำมิอาจลืม
ผมประทับใจในความเร็วแบบยมบาลอนุญาตให้แหกโค้งชนเสาไฟฟ้าคอหักตายได้วันละ 3 เวลาของกองหน้าผู้นี้ เช่นเดียวกับการหาจังหวะยิง
ที่ทั้งเฉียบคมและเด็ดขาดดีนักแล
ชื่นชอบ & ปลาบปลื้ม ถึงขนาดเคยแอบหวังลมๆ แล้งๆ ว่าสักวันดาวเตะขวัญใจเด็กหงส์ผู้นี้อาจจะยอมขายวิญญาณให้ปีศาจแดง โดยไม่คิดว่าวัน
หนึ่งมันจะกลายเป็นจริง !!!
กระทั่งวันก่อนได้อ่านความในใจของ ไมเคิ่ล โอเว่น แล้วจึงรู้สึกสงสารจนแทบจะเกิดอุทกภัยในถุงอัณฑะพลางรำพึง & พันลำ เอ๊ย! รำพันกับตัวเองว่า “โถ…พ่อคุณ” เพราะในสายตาของกองเชียร์ที่กำลังจะฉอลงแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ เขาแทบไม่ต่างจาก “หมาหัวเน่า”
“การกลับไปที่ แอนฟิลด์ ตอนเป็นผู้เล่นของ นิวคาสเซิ่ล แล้วโดนแฟนบอลโห่ใส่มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดสุดๆ ผมร้องไห้อยู่ในเลาจ์ และหวังว่าจะไม่มีใครเห็น มันก็เป็นช่วงเวลาอันแสนเจ็บปวดที่ยาวนาน อารมณ์เหมือนกับว่าต้องเลิกกับเมียอะไรแบบเลย”
“ผมทำได้เพียงแต่โทษตัวเองที่ทำให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นมา เพราะผมตอบตกลงที่จะย้ายไป เรอัล มาดริด เอง ผมยังรัก ลิเวอร์พูล เต็มเปี่ยม แต่สถานการณ์ของผมต่างจากคุณ (เจมี่ คาราเกอร์) ทุกวันนี้คุณยังเป็นขวัญใจของแฟนบอล ผมเองเคยอยู่ในสถานะเดียวกับคุณนี่แหละ แต่แล้วความคิดเห็นของแฟนบอลก็แบ่งเป็น 2 ฝ่าย ด้วยสาเหตุที่ว่าผมคิดที่จะย้ายออกจากทีมอยู่ประมาณ 1 ปีได้ แล้วจู่ๆ ทุกอย่างก็พังทลาย”
“ถ้าผมเดินไปเจอ เดอะ ค็อป พวกเขาก็จะตะโกนใส่หน้าผมว่า ‘แกมันเป็นไอ้พวกแมงค์’ (คนเมืองแมนเชสเตอร์) หรืออะไรทำนองนั้น ซึ่งผมก็ทำได้เพียงต้องทนยอมรับมัน และมันเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดมากๆ มันเป็นสิ่งที่ฆ่าผมทั้งเป็นมาตลอด และแผลมันก็จะไม่มีวันจางหายไปด้วย”
“ผมรู้ว่าสโมสรที่แท้จริงของผมคือทีมไหน เพียงแต่ผมไม่สามารถเปลี่ยนสิ่งที่ตัวเองทำลงไปได้ ผมได้ตัดสินใจไปแล้ว และก็คงจะไม่โทษใครทั้งนั้น”
อืมมมมมมมมม…นะ
ปฐมบทแห่งความเกลียดชังน่าจะเริ่มต้นตรงการถีบตัวเองออกจากเครื่องนุ่งห่มหงส์แดงไปอยู่กับ เรอัล มาดริด เมื่อ 2004 นี่แหละ
ณ ขณะนั้น ดาวถล่มประตูที่ “เดอะ ค็อป” ยกให้เป็น “เซนต์ ไมเคิ่ล” เหลือสัญญากับ ลิเวอร์พูล แค่ปีเดียว โดยยังไม่ยอมต่อสัญญาฉบับใหม่
จุดนี้ตีความได้ง่ายๆ ว่าเขาออกอาการไม่อยากทิ้งหัวใจไว้ที่ แอนฟิลด์
ความจริงการย้ายทีมมันก็เป็นวิถีของนักฟุตบอลอาชีพอยู่แล้ว เรื่องนี้คนที่เป็นแฟนบอลน่าจะทำความเข้าใจพลางยอมรับได้ไม่ยาก
ถ้าหากว่า…
1. ไมเคิ่ล โอเว่น ไม่ได้ถือกำเนิดจากหยดอสุจิของหงส์แดง
2. ยอมต่อสัญญาใหม่ออกไปก่อน เพื่อให้สโมสรได้รับค่าตัวจากการขายแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย
เมื่อไม่ต่อสัญญาฉบับใหม่ “ราชันชุดขาว” จึงสามารถกระชากตัวดาวยิงเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 2001 ผู้นี้ไปร่วมทีมด้วยค่าตัวแค่ 8 ล้านปอนด์ โดยส่งผู้เล่นประเภท “ใครวะ” คนหนึ่งที่มีมูลค่าประมาณ 4 ล้านปอนด์ อย่าง อันโตนิโอ นูนเยซ มาเป็นของแถม
ลองนึกดูนะครับว่าถ้าเป็นสมัยนี้ที่ค่าตัวของยอดดาวเตะแพงแบบบ้าคลั่ง
ค่าตัวของดาวยิงระดับตีนพระกาฬที่ยังหนุ่มยังแน่นบนวัยแค่ 25 ฟอร์มการเล่นอยู่ในช่วงน้ำกระฉูดแตกจะมหาศาลขนาดไหน ???
แน่นอนว่าถ้าเป็นยุคนี้ค่าตัวของ ไมเคิ่ล โอเว่น คงไม่มีทางต่ำกว่า 120 ล้านปอนด์เป็นแน่
อนิจจา ลิเวอร์พูล กลับสูญเสียผู้เล่นที่เป็นสมบัติล้ำค่าของตัวเองในมูลค่าเพียงแค่ 12 ล้านปอนด์เท่านั้น
เจ้าของสมญา “เบบี้โกล” เป็นชาวเมืองเชสเตอร์ที่อยู่ติดกับ ลิเวอร์พูล บ้านเดียวกับดาวยิงในตำนานอย่าง เอียน รัช
ตอนเด็กๆ เคยหิ้วสตั๊ดไปทดสอบฝีเท้ากับ แมนฯ ยูไนเต็ด แถมสร้างความประทับใจให้ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มิใช่น้อย
สุดท้ายก็ยักไหล่ปฏิเสธแล้วเลือกไปอยู่กับ ลิเวอร์พูล เพื่อเจริญรอยตามดาวเตะในตำนานบ้านเดียวกับตัวเองดีกว่า
ไมเคิ่ล โอเว่น เป็นเด็กฝึกหัดของ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่อายุ 12 ขวบ โดยใช้เวลาประมาณ 5 ปี ถีบตูดตัวเองขึ้นชุดใหญ่แล้วแหวกมดลูกออกมาแจ้งเกิดได้ทันทีในช่วงท้ายฤดูกาล 1996-97
ด้วยความเร็วระดับนรกยังต้องยอมรับ ไมเคิ่ล โอเว่น ลงเล่นให้ ลิเวอร์พูล ทุกรายการ 297 นัด กระหน่ำไป 158 ประตู ช่วยให้ “หงส์แดง” คว้า “ทริปเปิ้ลแชมป์” บอลถ้วยอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อ 2001 ก่อนผงาดถึงบัลลงดอร์ในปีเดียวกัน
แต่การย้ายไป เรอัล มาดริด ในรูปแบบที่อธิบายไปแล้วนั้น มันคือการสะบั้นความสัมพันธ์กับ ลิเวอร์พูล จนแทบไม่เหลือเยื่อใย
ทีนี้มาลองมองในมุมของ ไมเคิ่ล โอเว่น ดูบ้าง
หลังจากฝังหนอกที่ แอนฟิลด์ มานาน 13 ปี โดยอยู่กับทีมชุดใหญ่ของ ลิเวอร์พูล เป็นเวลา 8 ฤดูกาล คว้าแชมป์บอลถ้วยทั้งหมด 4 รายการ (ลีก คัพ 2 ครั้ง, เอฟเอ คัพ 1 ครั้ง และยูฟ่า คัพ 1 ครั้ง)
อันดับแรกเหมือนเดินทางมาถึงจุดอิ่มตัว
ต่อมา ไมเคิ่ล โอเว่น ย่อมต้องการความสำเร็จที่มากกว่า เช่นเดียวกับที่ได้ทรัพย์สลิงคารที่มากขึ้น
ไอ้ความสำเร็จที่มากกว่าน่าจะหมายถึงแชมป์ลีกสูงสุด หรือแชมป์ถ้วยใหญ่ยุโรป รวมถึงค่าจ้างที่มหาศาลมากขึ้น ซึ่งนั่นดูเหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งที่ ลิเวอร์พูล มอบให้เขาไม่ได้
เมื่อ เรอัล มาดริด ยุค ‘กาลาคติกอส’ แสดงความสนใจอย่างออกนอกหน้า
มีหรือที่จะไม่ระทวย
การไม่ยอมต่อสัญญาใหม่ จึงเป็นวิธีที่บีบให้สโมสรจำเป็นต้องปล่อยตัวเขาออกไปง่ายกว่าเดิม
การเลือกที่จะทำแบบนั้น หมายถึงการคำนึงถึงตัวเองมากกว่าผู้ให้กำเนิดบนโลกลูกหนัง
ตลกร้ายคือหลังวิ่งออกจากเครื่องนุ่งห่มหงส์ได้แค่ฤดูกาลเดียว ลิเวอร์พูล ก็คว้าแชมป์ยุโรปอย่างยิ่งใหญ่ อันเป็นเกียรติประวัติเดียวที่เขาไม่เคยสัมผัสในอาชีพการค้าแข้ง
ส่วนตัวเขาในชุดสีขาว แม้จะไม่ล้มเหลว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ต่อมาวันหนึ่งแม้นจะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก…สมใจนึก
แต่ลองนึกดูดีๆ นะครับว่า ไมเคิ่ล โอเว่น มีส่วนกับความสำเร็จของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลนั้นมากขนาดไหน ???
คำตอบคือไม่จำเป็นต้องมีกองหน้าผู้นี้อยู่ในทีม พลพรรคปีศาจแดงก็สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2010-11 ได้สำเร็จอยู่ดีนั่นแหละ
เพราะฤดูกาลนั้น อดีตดาวยิงหงส์แดงบนวัย 31 ขวบ ลงเล่นให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในพรีเมียร์ลีกไปแค่ 11 นัด ทำได้แค่ 2 ประตูเท่านั้นเอง
ทว่าการยอมขายวิญญาณให้ปีศาจแดง แถมยังทะลึ่งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบเย้ยหยันสโมสรเก่ายิ่งทำให้ “เด็กหงส์” เกลียด ไมเคิ่ล โอเว่น ยิ่งหนูและแมลงสาปมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า
มันไม่คุ้มกันเลยนะครับกับการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบปลอมๆ แล้วต้องกลายเป็นที่เกลียดชังจากบรรดาแฟนบอลของทีมที่ตัวเองถือกำเนิด
อารมณ์นี้ ถ้าไปถาม “เด็กหงส์” ว่ารู้สึกอย่างไรกับ ไมเคิ่ล โอเว่น
บางคนคงจะตอบว่า “ขยะแขยง”
บางคนคงจะตอบว่า “ไปลงนรกซะ”
บางคนคงจะตอบว่า “พ่อมึงตาย”
บางคนคงจะตอบว่า “ไอ้นี่มันตำนานของสโต๊ค ซิตี้”
บางคนคงจะตอบว่า “ฟัค-ออฟ”
และบางคนอาจถามกลับมาว่า “ใครวะ กูไม่รู้จัก”
ในงานฉลองโทรฟี่แชมป์พรีเมียร์ลีก หลังจบเกมกับ เชลซี ที่ แอนฟิลด์ ในนัดรองสุดท้ายของฤดูกาลนี้ เชื่อว่าหาก ไมเคิ่ล โอเว่น ทะลึ่งโผล่หน้าขาวๆ ของตัวเองออกไปในสนาม รับรองได้ว่าโดนถล่มด้วยเสียงโห่จนหูแตกแน่ๆ ทั้งที่ในความรู้สึกของเขา – เขายังคิดว่าตัวเองมีความเป็นผู้เล่นของ ลิเวอร์พูล เสมอมา และมากกว่า เรอัล มาดริด, นิวคาสเซิ่ล, แมนฯ ยูไนเต็ด และสโต๊ค ซิตี้
พูดง่ายๆ ว่าเขาเป็น…เด็กหงส์
เพียงแต่เป็น “เด็กหงส์” ที่ “เด็กหงส์” แทบทุกหมู่เหล่าลบออกไปจากความทรงจำเป็นที่เรียบร้อย
ว่าแล้วให้นึกถึงคำขวัญประจำใจของปวง เดอะ ค็อป
You’ll never walk alone – คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย
ดูเหมือน “You’ll never walk alone” จะไม่ได้มีไว้สำหรับเด็กหงส์ทุกคน
หน้าแรก >>> UFABETWINS
อ่านข่าวอื่นๆที่ >>> https://esreality.net/