“แกเร็ธ เบล กลายเป็นคนใหม่ เขาเปลี่ยนแปลงไปมาก และ คาร์โล อันเชล็อตติ ก็ชื่นชอบทัศนคติของเขา” ใจความสำคัญจากบทความของ มาร์ก้า สื่อสเปน
ประเด็นที่สื่อค่ายต่างๆ คาดการณ์เอาไว้ตอนที่ คาร์โล อันเชล็อตติ กลับมาคุม เรอัล มาดริด ว่า “แกเร็ธ เบล จะกลับมามีอนาคตในทีมอีกครั้ง ในสัญญาที่เหลือปีสุดท้าย” ผ่านนัดเปิดซีซั่นไปแล้ว กลายเป็นการคาดการณ์ที่ถูกต้อง
เบล กับ อันเชล็อตติ เคยร่วมงานกันมาสองฤดูกาล 2013-14 ที่คว้าสองแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ โกปา เดล เรย์ และฤดูกาล 2014-15 ที่จบซีซั่นแบบมือเปล่า จนทำให้ ‘อันเช่’ ต้องตกเก้าอี้
แม้ในช่วงเวลานั้น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ครอบงำแนวรุกทั้งหมดในทีม แต่ เบล มีสองฤดูกาลที่ยอดเยี่ยม 22 ประตูจาก 44 เกม ซีซั่น 2013-14 และ 17 ประตูจาก 48 เกมในซีซั่น 2014-15 และยังทำไปถึง 31 แอสซิสต์ในช่วงสองฤดูกาลดังกล่าว
แน่นอนว่า อันเชล็อตติ รู้วิธีใช้งาน เบล จากประสบการณ์ในอดีต แต่เหนือสิ่งอื่นใด นักเตะคนนั้นๆ จะต้องมีวินัยและทัศนคติในการเล่นที่ดีด้วย
“ทัศนคติที่ดี” นั่นคือสิ่งที่ เบล ขาดหายไปในฤดูกาล 2019-20 ซึ่งเป็นซีซั่นสุดท้ายที่ได้ร่วมงานกับ ซีเนดีน ซีดาน
การไม่สนใจเกมขณะนั่งสำรองในหลายต่อหลายเกม หรือบางเกมที่รีบลุกออกจากที่นั่ง บึ่งรถออกจากสนามก่อนช่วงเวลาที่ทีมกำหนด นั่นคือเรื่องที่ทุกคนคิดว่าอนาคตของ เบล ที่ เรอัล มาดริด จบสิ้นลงแล้ว
แม้การกลับไป ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ สโมสรเก่าที่เคยมีช่วงเวลาที่ดีร่วมกัน ยังไม่สามารถทำให้ เบล คนเดิมกลับมาได้แบบร้อยเปอร์เซนต์ แต่การทำงานร่วมกับ โชเซ่ มูรินโญ่ ก็มีส่วนไม่น้อยที่ทำให้ทัศนคติของ เบล เปลี่ยนแปลงไป
การหมดสัญญายืมตัวกับ สเปอร์ส หลังจบฤดูกาลที่แล้ว อนาคตของ เบล กลายเป็นเครื่องหมายคำถามว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป? ขณะที่สัญญากับ มาดริด ยังเหลืออีกหนึ่งปี
“แขวนสตั๊ด” ประเด็นนี้โผล่มาเป็นข่าวอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ตามรายงานที่กล่าวอ้างว่า เบล จะเจรจาเพื่อขอยุติสัญญาปีสุดท้ายกับ เรอัล มาดริด จากนั้นก็จะเลิกเล่นฟุตบอลอย่างเป็นทางการ
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เอเยนต์ส่วนตัวของ เบล ก็รีบชี้แจงและยืนยันเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้
“ยกเลิกสัญญา” ประเด็นนี้ตามมา ต่อเนื่องจากประเด็นที่ว่า เบล ไม่เหลืออนาคตกับสโมสรต่อไปอีกแล้ว และสโมสรก็ไม่ต้องการแบกจ่ายค่าจ้างมหาศาลที่สูงกว่าทุกคนในทีม
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการประกาศแต่งตั้ง อันเชล็อตติ กลับมาคุมทัพรอบสอง สถานการณ์ของ เบล เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง สื่อต่างๆ ต่างคาดการณ์ว่า เบล จะกลับมา “มีอนาคต” ในทีมอีกครั้ง
หลังผ่านเกมแรกของฤดูกาลใหม่ ลาลีกา ที่ เรอัล มาดริด บุกถล่ม เดปอร์ตีโบ อลาเบส 4-1 เบล ลงตัวจริงประสานแนวรุกร่วมกับ คาริม เบนเซม่า และ เอแดน อาซาร์ โดยอยู่ในสนาม 68 นาที ถึงแม้จะไม่มีประตู ไม่มีแอสซิสต์ แต่สิ่งที่สื่อและแฟนบอลมองเห็นเหมือนกันคือ เบล เปลี่ยนแปลงไป และกลายเป็นคนใหม่
การกลับ เรอัล มาดริด โดยเสียหมายเลข 11 ไปให้ มาร์โก อาเซนซีโอ และต้องไปสวมเบอร์ 18 ที่ว่างอยู่ (ลูก้า โยวิช เปลี่ยนไปใช้เบอร์ 16) ไม่ได้สร้างปัญหาใดๆ ให้ เบล เลยแม้แต่น้อย
เบล ดูมีสมาธิในการเล่นฟุตบอลมากขึ้น ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือเข้ากับเพื่อนร่วมทีมได้ดีขึ้น จากเมื่อก่อนที่เคยถูก ตีโบต์ กูร์กตัวส์ แฉว่าเป็นคนที่ไม่เอาใครเลย ชอบแยกตัวออกจากเพื่อนๆ ที่นัดกันทานข้าวหรือสังสรรค์
ภายในสนามซ้อมที่ บัลเดเบบาส มีการเปิดเผยว่า เบล สนุกกับช่วงเวลาของการซ้อมเป็นอย่างมาก หัวเราะและปล่อยมุกกับเพื่อนร่วมทีม จนทำให้ อันเชล็อตติ รู้สึกยินดีกับทัศนคติที่ดีของนักเตะ
และสิ่งที่แฟนบอลมองเห็นได้ชัดเจนจากเกมแรกของซีซั่นใหม่ เบล คือคนละคนจากฤดูกาล 2019-20
ถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าสามแนวรุกตัวหลักในทีมของ อันเชล็อตติ จะเป็น เบนเซม่า, อาซาร์, เบล ซึ่งอาจจะเป็นสามประสานที่แฟนบอลอยากเห็นลงเล่นร่วมกันมากที่สุด เมื่อพิจารณาจากการไม่ได้เสริมแนวรุกเลยจนถึงช่วงเวลานี้ของตลาดซื้อขายซัมเมอร์
แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ เบล ต้องคงไว้ คือเรื่องความสม่ำเสมอในเกม
หาก เบล กลายเป็นตัวหลักของทีมในระยะยาว และยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำอีกครั้ง บางทีสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้น ก็อาจเกิดขึ้น นั่นคือสัญญาใหม่จาก เรอัล มาดริด